ส่วนตัว

รูปภาพของฉัน
คนสร้างเว็บคนหนึ่ง ^ ^

สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นบทความ



วันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 เชิดชูวีรกรรมทหารไทย 

          สำหรับ วันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ประจำปี 2552 ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบในการจัดงานวันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้กำหนดให้มีการจัดพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ทหารอาสาบริเวณท้องสนามหลวง ของผู้แทนจากส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม มูลนิธิ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศ ตลอดจนทายาททหารอาสาสงคราม โลกครั้งที่ 1 และตัวแทนเยาวชนจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ 

         และในเวลา 15.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์วางพวงมาลา นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้ความรู้แก่ผู้มาร่วมงานด้วย


แผนที่ประเทศแสดงระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรในสีเขียว และฝ่ายมหาอำนาจกลางในสีส้ม และฝ่ายที่เป็นกลางในสีเทา


          ขึ้นชื่อว่า "สงคราม" ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้ หรือผู้ชนะ ก็ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความสูญเสีย!! 
          สงครามที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ที่มวลมนุษยชาติต้องจดจำ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสงครามที่มีคนไทยเข้าไปร่วมด้วย โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2457 ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อันมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับเซอร์เบีย โดยคู่กรณีสงครามแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเยอรมนี มีพันธมิตรผู้หนุนหลังประกอบด้วย ออสเตรีย ฮังการี บัลแกเรีย และตุรกี และฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ รวม 25 ประเทศ
 
    
      เมื่อสงครามอุบัติขึ้น ได้ขยายขอบเขตไปตามภูมิภาคต่าง ๆ จนมาถึงทวีปเอเชีย โดยประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับเยอรมนี สำหรับประเทศไทยซึ่งในขณะนั้นมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์ประมุข พระองค์มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย มีพระบรมราชวินิจฉัยด้วยพระปรีชาญาณ ทรงตัดสินพระทัยร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร (ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมนี) โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศสงคราม เมื่อเวลาประมาณ 24.00 น. ของวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 
          หลังจากที่ประเทศไทยตัดสินใจเข้าร่วมสงครามแล้ว กระทรวงกลาโหมได้ประกาศรับสมัครทหารอาสา โดยในขั้นต้นได้คัดเลือกไว้จำนวน 1,385 คน จากนั้นมีการอบรมและทดสอบ เหลือกำลังปฏิบัติการ 1,284 นาย จัดเป็นกองทหารอาสา โดยมี พันเอก พระยาเฉลิมอากาศ หรือ สุณี สุวรรณประทีป เป็นผู้บังคับการ
    
  ทหารอาสาของไทย โดยเฉพาะกองทหารบกรถยนต์ ได้มีโอกาสเข้าร่วมปฏิบัติการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารฝรั่งเศสอย่างกล้าหาญ และได้รับคำชมเชยอย่างมาก นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่กองทหารอาสาของไทยพักอยู่ในตำบลต่าง ๆ ในประเทศฝรั่งเศส ก็เป็นที่รักใคร่ชื่นชมของราษฎรในพื้นที่ จากการแสดงน้ำใจไมตรีให้การช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ กับประชาชนอยู่เสมอ ๆ

 
          สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นยืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี จนกระทั่งในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 เยอรมนีได้ติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรขอเจรจาสงบศึก 
โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในสัญญาสงบศึกบนรถไฟ ณ เมืองคองเปียน ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ 2461 วันสำคัญวันนี้ของทุกปีจึงถูกกำหนดให้เป็น "วันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1" 
        
  หลังสงครามยุติลง การเฉลิมฉลองชัยชนะเกิดขึ้นในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำพิธีปฐมกรรมในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2461 มีการชุมนุมทหารที่สนามหลวง ส่วนฝ่ายสัมพันธมิตรได้กระทำพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะที่บริเวณลานประตูชัย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 โดยกองทหารบกรถยนต์ของไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมเดินในขบวนสวนสนามฉลองชัยชนะ รวมทั้งยังได้เข้าร่วมเดินสวนสนามฉลองชัยชนะที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 และที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในวันที่ 22 กรกฎาคม ปีเดียวกัน อีกด้วย
    
          การเดินทางกลับสู่มาตุภูมิของวีรบุรุษทหารอาสาไทยเป็นไปอย่างอบอุ่นและ  สมเกียรติ โดยเดินทางออกจากท่าเรือมาร์แซลล์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2462 มาถึงประเทศไทยในวันที่ 21 กันยายน ปีเดียวกัน เมื่อกองทหารบกรถยนต์เดินทางมาถึงท่าราชวรดิฐมีพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ทูตานุทูต และประชาชน มาให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก 

กองทหารไทยในดินแดนเยอรมนี

          กองทหารอาสาของไทยในครั้งนั้น แบ่งออกเป็น 3 หน่วยด้วยกัน คือ กองทหารบกรถยนต์ กองบินทหารบก และกองพยาบาล โดยทหารอาสาทั้งหมดนี้ได้กระทำพิธีสาบานตนต่อธงไชยเฉลิมพล ณ บริเวณหน้าวังสราญรมย์ และในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2461 กองทหารอาสาได้ออกเดินทางจากท่าราชวรดิฐ โดยเรือกล้าทะเลและเรือศรีสมุทรเพื่อไปขึ้นเรือเอมไพร์ ซึ่งประเทศฝรั่งเศสส่งมารับที่เกาะสีชัง เพื่อเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ ลังกา สุเอซ ถึงเมืองมาร์แซลล์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2461 หลังจากนั้นได้เดินทางไปเข้าที่ตั้งเพื่อรับการฝึกก่อนส่งตัวเข้าปฏิบัติการรบในสมรภูมิ
   
        

 
          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวต้อนรับกองทหารอาสาเสร็จแล้วทรงผูกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พระราชทานแก่ธงไชยเฉลิมพล และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่าง ๆ แก่ทหารอาสาทุกนาย
 
          นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ระลึกถึงเกียรติประวัติของทหารอาสาไทยที่อาสาไปร่วมปฏิบัติการรบในทวีปยุโรป รวมทั้งเป็นที่บรรจุอัฐิของทหารหาญที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จำนวน 19 คน โดยมีพิธีบรรจุอัฐิ เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2462 ซึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลาคารวะดวงวิญญาณของทหารกล้าด้วยพระองค์เอง

 
        
  ในบรรดาทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ของประเทศไทย ร้อยตรียอด สังข์รุ่งเรือง คือ ทหารอาสาคนสุดท้ายที่มีอายุยืนยาวที่สุด เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 โดยมีอายุ 104 ปี เมื่อครั้งเป็นทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ถูกส่งไปร่วมรบกับกองทัพสัมพันธมิตร สังกัดหน่วยช่างอากาศของกองทัพฝรั่งเศส เมื่อสงครามยุติลงจึงเดินทางกลับประเทศไทยและได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึกสงครามยุโรปจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  
          จากนั้นในปี พ.ศ. 2542 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เลอ ลีเจียน เดอ ฮอร์นเนอร์ จากเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่  หัว ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ  ร้อยตรี เป็นกรณีพิเศษให้แก่ นายยอด ในฐานะที่ได้สร้างชื่อ  เสียงให้กับประเทศชาติ
 
          การตัดสินใจเข้าร่วมรบในฝ่ายสัมพันธมิตรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติหลายประการด้วยกัน อาทิ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในโลก โดยเฉพาะชาติสัมพันธมิตร ยุโรป และอเมริกาได้รู้จักประเทศไทย เนื่องจากทหารอาสาของประเทศไทยที่เข้าร่วมรบได้สร้างชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมีวินัย ความกล้าหาญ รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สร้างความประทับใจแก่บรรดาชาติพันธมิตร
 
       
   นอกจากนี้ยังส่งผลให้ชาติต่าง ๆ ในยุโรป 13 ประเทศ ที่เคยทำสัญญาผูกมัดประเทศไทย ยอมแก้ไขสัญญาที่ทำไว้เดิม โดยเฉพาะการยกเลิกอำนาจศาลกงสุล โดยให้ชาวต่างประเทศที่กระทำผิดในประเทศไทยมาขึ้นศาลไทย และยังได้อิสรภาพที่จะกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากร ตลอดจนการที่ประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพที่กรุงปารีส และได้รับเชิญให้เข้าร่วมก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย 
          วีรกรรมของทหารอาสาไทย ความกล้าหาญและความเป็นนักสู้ ได้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ เสริมสร้างเกียรติภูมิและยังประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล
    

          ขอสดุดีเหล่าทหารอาสาผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกนาย

______________________________________________________________________


สงครามโลกครั้งที่ 1
27. ข้อสรุปของสงครามโลกครั้งที่ 1 (..1914 - 1918)
                27.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมระยะเวลา 4 ปี
                                - เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม
                                - สิ้นสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน ..1918 เมื่อเยอรมนียอมสงบศึกยุติสงคราม
                27.2 การลงนามในสัญญาสันติภาพ ฉบับที่สำคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์วายส์ (Treaty of Versailles ) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1919 เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้เยอรมนีในฐานะชาติผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
                27.3 ประเทศคู่สงคราม สงครามโลก ครั้งที่ 1 เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ค่าย ได้แก่
                        (1) ฝ่ายมหาอำนาจสัมพันธมิตร ( Allied Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาไตรภาคี” หรือทริเปิล อองตองต์ ( Triple Entente ) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และยังมีชาติอื่น  สมทบเข้าร่วมในสงครามอีก 23 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในช่วงปลายของสงคราม
                         (2) ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี” หรือทริเปิล อัลไลแอนซ์ (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
                27.4 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 1 สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรปและได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่น  ของโลก มีประเทศเข้าร่วมในสงครามมากกว่า 30 ประเทศ เป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 20 ล้านคน
28. สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 1
                สาเหตุที่ทำให้ประเทศในยุโรปก่อสงครามทำลายล้างกันจนขยายตัวเป็นสงครามโลก ครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้ 
          28.1 ลัทธิชาตินิยม ก่อนเกิดสงครามครั้งที่ 1 กระแสความรู้สึกชาตินิยมทวีความรุนแรงในหมู่ชนชาติต่าง  ในยุโรป โดยมีสาแหตุเกิดจากการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี จนเกิดความคิดว่าการทำสงครามเป็นการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ    
                นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจต่างพยายามต่อสู้ในทางลับเพื่อแยกตัวเป็นประเทศเอกราช เช่น พวกสลาฟ (Slav) ในคาบสมุทรบอลคาน ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและเซอร์เบียให้แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี เป็นต้น
                28.2 ลัทธิจักรวรรดินิยม ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปแข่งขันกันขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า โดยเฉพาะดินแดนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
                28.3 ลัทธินิยมทางทหาร หรือการแข่งขันด้านแสนยานุภาพทางทหาร เกิดจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ต่างพยายามแข่งขันกันสะสมอาวุธและความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตนทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มจะใช้กำลังทางทหารแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
                28.4 การขยายตัวของระบบพันธมิตรทางทหาร ความหวาดระแวงและความตึงเครียดในปัญหาความขัดแย้งต่าง  ทำให้ชาติมหาอำนาจของยุโรปต้องทำสัญญาผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรทางทหาร โดยแบ่งเป็น 2 ค่าย ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ากันมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้สงครามตัดสินปัญหา
29. ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 1
29.1 สถานการณ์ที่นำไปสู่ชนวนระเบิดของสงครามโลก ครั้งที่ 1 คือ กรณีลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) องค์รับทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงของแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1914 โดยคนร้านที่ถือสัญชาติเซอร์เบีย ทำให้รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี ปักในเชื่อว่ารัฐบาลเซอร์เบียอยู่เบื้องหลัง
29.2 ปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวบานปลายกลายเป็นสงคราม เพราะระบบการสร้างกลุ่มสัญญาพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายหนึ่งมีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อีกฝ่ายหนึ่งมีรัสเซีย และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
30. ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 1
                ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประเมินผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่าง  ที่เกิดขึ้นในยุโรป สรุปได้ดังนี้
                30.1 ความหายนะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งทหารและพบเรือน รวมไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน ทรัพย์สินของแต่ละประเทศรับความเสียหายอย่างหนัก รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
                30.2 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงความก้าวหน้าในการประดิษฐ์อาวุธร้ายแรงต่าง  ของประเทศคู่สงคราม เช่น การนำรถถังมาใช้เป็นครั้งแรก การนำเครื่องบินรถติอาวุธมาทำสงครามกลางอากาศเป็นครั้งแรก และรวมทั้งการใช้ปืนกล ปืนใหญ่ และแก๊สพิษ เป็นต้น
                30.3 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป สงครามโลก ครั้งที่ 1 มีผลทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปหลายจักรวรรดิต้องล่มสลาย เช่น จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี) เป็นต้น และทำให้เกิดประเทศใหม่  อีกหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย ฯลฯ
                30.4 การเกิดองค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพของโลกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งมิให้เกิดสงครามขึ้นอีก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมีวินัย ความกล้าหาญ รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สร้างความประทับใจแก่บรรดาชาติพันธมิตร
   
          นอกจากนี้ยังส่งผลให้ชาติต่าง ๆ ในยุโรป 13 ประเทศ ที่เคยทำสัญญาผูกมัดประเทศไทย ยอมแก้ไขสัญญาที่ทำไว้เดิม โดยเฉพาะการยกเลิกอำนาจศาลกงสุล โดยให้ชาวต่างประเทศที่กระทำผิดในประเทศไทยมาขึ้นศาลไทย และยังได้อิสรภาพที่จะกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากร ตลอดจนการที่ประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพที่กรุงปารีส และได้รับเชิญให้เข้าร่วมก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย 
          วีรกรรมของทหารอาสาไทย ความกล้าหาญและความเป็นนักสู้ ได้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ เสริมสร้างเกียรติภูมิและยังประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล
 
          ขอสดุดีเหล่าทหารอาสาผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทุกนาย
______________________________________________________________________



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
(เดลินิวส์)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น